ยินดีต้อนรับ สู่ เว็บ Blog Tour Thai นี้จัดทำขึ้นมา เพื่อรวบรวมสถานที่ท่องเที่ยวของ ประเทศไทยเรา และได้เผยแพร่ วัฒธรรมไทยด้วย
วันพุธที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2555
วังช้างอยุธยา แล เพนียด
วังช้างอยุธยา แล เพนียด
ที่ตั้งวังช้างอยุธยา แล เพนียด ริมถนนป่าโทน ข้างคุ้มขุนแผน อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ตำบลประตูชัย อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธุ์ พ.ศ. 2540 โดยได้รับการสนับสนุนจากกรมศิลปากร การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เดิมได้ตั้งชื่อว่า ปางช้างอยุธยา แล เพนียด และได้เปลี่ยนชื่อ ใหม่เป็น วังช้างอยุธยา แล เพนียด เพื่อเป็นสิริมงคลแก่เจ้าของและสถานที่ ที่อยู่ในเขตอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา และเป็นพื้นที่มรดกโลก คำว่า แล หมายถึง แลมอง แลเห็น แลดู เป็นคำโบราณ เพนียด หมายถึง โบราณสถานเป็นที่จับช้างโบราณ ตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา
ขนาดพื้นที่ประมาณ 2 ไร่ ทิศเหนือติดกับบึงน้ำโบราณข้างคุ้มขุนแผน ทิศใต้ติดริมถนนป่าโทน ตั้งใกล้กับศาลหลักเมือง ด้านทิศตะวันออกติดกับสระน้ำวัดเกษ ทิศตะวันตกติดกับโครงการตลาดน้ำเทศบาลนครพระนครศรีอยุธยา
ลานพักช้างใหญ่
เป็นลานโล่งมีคานเหล็กกั้นสูง 150 เซนติเมตรขนาดเหล็กที่เป็นเสาเหล็กกลม 8 นิ้วมีตะแกรงเหล็ก เพื่อป้องกันช้างนำอาหารฟาดที่ตะแกรงแล้วไม่เสียหาย ที่กั้นช้างด้านหน้ายาว 10 เมตร ป้องกันนักท่องเที่ยวเข้าใกล้ชิดช้างเพื่อให้อาหารช้างในระยะแค่ปลายงวงจะ กั้นเฉพาะด้านหน้าที่นักท่องเที่ยวให้อาหารช้างและ บันทึกภาพเท่านั้น คอกกันชั้นในและชั้นนอกห่างกัน 150 เซนติเมตร หลังคากันแสงทำด้วยการขึงแสลนสีดำ ป้องกันแสงแดด ด้านริมถนนเป็นรั้วลวดหนาม ด้าน ในจะเป็นลานโล่ง ใช้เชือกกั้นมิให้บุคคลภายนอกเข้าไปเป็นบริเวณที่ช้างพักอาศัย เพื่อป้องกันอันตราย ควาญช้างก็จะใช้พื้นที่เป็นสถานที่พักช้าง อาบน้ำให้ช้าง พักผ่อน
ลานพักช้างน้อย
ช้างน้อยจะอยู่ด้านหน้าของช้างใหญ่ จะมีราวเหล็กสำหรับผูกช้าง ด้านริมถนน มีรั้วลวดหนามกันริมถนน ยาวประมาณ 4 เมตร ช้างน้อยไปทำงานวันละ 3-4 เชือก มีหน้าที่คอยต้อนรับนักท่อง เที่ยว เชิญชวนนักท่องเที่ยวบันทึกภาพกับช้างน้อย โดยคิดค่าใช้จ่ายต่อท่าน 40 บาท ควาญช้างน้อยจะมีหน้าที่สลับกันออกมาต้อนรับและพักในบริเวณ ลาน ให้อาหารและทำความสะอาด (เก็บมูลช้างเอง) ถ้าเป็นปัสสาวะ ต้องนำน้ำมาราด กวาดให้แห้ง วันเสาร์ วันอาทิตย์ วันหยุดนักขัตฤกษ์ ช้างน้อยจะโชว์ความสามารถ ประกอบเสียงดนตรี มีคนพากษ์ เสริมกิจกรรมลอดท้องช้าง ให้เป็นสิริมงคลสำหรับผู้มาเยือน เป็นภาพที่ประทับใจของนักท่องเที่ยวจริง ๆ
วันจันทร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2555
พัทยา
พัทยา จังหวัดชลบุรี ( Pattaya Chon Buri )
ชายหาดพัทยา ยาว 3 กม. ที่มีชื่อเสียงระดับโลกแห่งนี้ แปบ่งออกเป็นสามช่วงได้แก่ พัทยาเหนือ พัทยากลาง และพัทยาใต้ หากชอบความสงบให้ไปแถวพัทยาเหนือ ชอบความคึกคักให้ไปแถวพัทยากลางและพัทยาใต้ที่เต็มไปด้วยสีสันตลอดวันตลอดคืน มีสถานบันเทิงหลายรูปแบบ ที่กิน ที่พัก แหล่งซื้อของ ห้องสรรพสินค้า รวมทั้งจุดเช่ารถยนต์ มอเตอร์ไซค์ เรือเร็วและท่าเรือไปเกาะล้าน มีการปิดถนนให้คนเดินเที่ยวที่พัทยาใต้ในช่วงค่ำคืน
ตลอดแนวหาดพัทยามีทางเท้ากว้างเลียบชายหาด คนพัทยาและนักท่องเที่ยวนิยมมาวิ่งออกกำลังกายกันในยามเย็น ในพัทยานี้ยังมีที่ท่องเที่ยวอื่น ๆ นอกจากพัทยานี้อีกด้วย ถ้าท่านไม่รู้จัก เชิญเลือกดูข้างล่างนี้ได้เลยค่ะ
พัทยาเหนือ พัทยาใต้ พัทยากลาง
หาดเทียน วิหารเซียน (อเนกกุศลศาลา) ตลาดน้ำ 4 ภาค
เขาชีจรรย์ เรือจักรีนฤเบศ อุทยานสามก๊ก
เกาะล้าน สวนสัตว์เปิดเขาเขียว ศูนย์อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล
ไร่องุ่น Silverlake วัดญาณสังวราราม สวนนงนุช
อันเดอร์วอเตอร์เวิลด์ อุทยานแห่งชาติหินล้านปีฟาร์มจระเข้
ศูนย์ฝึกสอนลิง โรงภาพยนตร์พานอรามา
กิจกรรมบนชายหาด เทศกาลบอลลูนนานาชาติ
การเดินทางไปพัทยา
การเดินทางไปพัทยา โดย รถโดยสาร รถไฟ รถยนต์ส่วนตัว
1. มีรถโดยสารจากกรุงเทพฯ - พัทยา มีทั้งรถปรับอากาศและรถโดยสารธรรมดา โทร. 02-390-1230
2. รถไฟมีรถไฟไปพัทยาทุกวัน ๆ ละหนึ่งเที่ยว ขาไปเวลา 6.55 น. ขากลับเวลา บ่าย 2.40 น. ของทุกวัน โทร. 02233-7010,02-223-7020
3. ทางรถยนต์จากกรุงเทพฯไปจังหวัดชลบุรีจะใช้ได้หลายเส้นทางคือ
- ใช้เส้นทางสายบางนา - ตราด ทางหลวงหมายเลข 34 เข้าสู่จังหวัดชลบุรี
- ใช้เส้นทางสายกรุงเทพฯ - มีนบุรี ทางหลวงหมายเลข 304 ซึ่งจะผ่านทางฉะเชิงเทรา,บางปะกงและเข้าชลบุรี
- ใช้เส้นทางสายเก่าถนนสุขุมวิททางหลวงหมายเลข 3 ผ่านสมุทรปราการ ถึงแยก อำเภอบางปะกงจึงใช้ทางหลวงหมายเลข 34 เข้าชลบุรี
ซึ่งทั้งสามเส้นทางที่เดินทางจากกรุงเทพฯจะมารวมอยู่ที่ชลบุรี ถึงจะใช้เส้นทางถนนสายสุขุมวิทเพื่อเข้าสู่เมืองพัทยา ซึ่งใช้ถนนสามสายหลัก ๆ คือ พัทยาเหนือ อยู่ตางหลักกม. 144 ถนนพัทยากลาง อยู่ที่หลักกม. 145-146 และพัทยาใต้อยู่ที่หลักกม.147 ถนนทั้งสามเส้นทางนี้จะเลียบชาดหาดพัทยา
วันอาทิตย์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2555
เกาะสมุย
เกาะสมุย เป็นเกาะที่อยู่กลางอ่าวไทยโดยเป็นอำเภอๆ หนึ่งของจังหวัดสุราษฎร์ธานี เดิมมีชื่อเสียงในฐานะแหล่งปลูกมะพร้าว แต่ปัจจุบันได้พัฒนาเป็นสถานที่ตากอากาศที่มีร้านค้า โรงแรม และสถานบันเทิงมากมาย โดยเกาะสมุยนั้นมีเนื้อที่ทั้งหมด 247 ตารางกิโลเมตร พื้นที่ 1 ใน 3 ของเกาะเป็นที่ราบแล้วล้อมรอบด้วยภูเขา ลักษณะภูมิอากาศเป็นแบบมรสุมเขตร้อน มี 3 ฤดู คือ ฤดูฝน เริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคม-ตุลาคม ฤดูหนาวเริ่มเดือนพฤศจิกายน-มกราคม เป็นช่วงที่มีลมมรสุม และฤดูร้อนตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์-เมษายน ซึ่งคลื่นลมสงบ
สถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจบนเกาะสมุย
หาดเฉวง เป็นชายหาดที่มีชื่อเสียงที่สุดของเกาะสมุย มีความยาวประมาณ 6 กิโลเมตร หาดทรายมีลักษณะขาวสะอาดและมีห้องพักไว้บริการนักท่องเที่ยวมากมาย อีกหาดที่น่าสนใจก็คือ หาดละไม เป็นชายหาดที่มีชื่อเสียงรองลงมาจากหาดเฉวงโดยจะมีระยะทางสั้นกว่า แต่น้ำทะเลจะใสมากจนมองเห็นปลาว่ายอยู่ในน้ำจึงเหมาะสำหรับการว่ายน้ำ
หาดตลิ่งงาม เป็นหาดที่อยู่ถัดไปในทางทิศใต้ของท่าเรือเฟอร์รี่ เป็นหาดขึ้นชื่อในการชมพระอาทิตย์ตกที่สวยที่สุดบนเกาะ เนื่องจากด้านหน้าของหาดเป็นที่ตั้งของเกาะสี่เกาะห้า ในเวลาที่ดวงอาทิตย์ตก จะสามารถมองเห็นภาพของดวงอาทิตย์ตกลงระหว่างกลางเกาะทั้งสอง และจมหายไปในทะเลเป็นภาพที่สวยงามมาก ในช่วงเย็นหาดแห่งนี้จึงเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ในช่วงกลางวันยังสามารถเช่าเหมาเรือเพื่อเดินทางไปยังเกาะสี่-เกาะห้า ดำน้ำชมปะการัง หรือจะเลือกพักผ่อนด้วยการตกปลาก็ยังได้
หาดละไม หาดแห่งนี้เป็นหาดขึ้นชื่อ ด้วยความสวยของโค้งอ่าว ที่มีทิวมะพร้าวปลูกอยู่เป็นแนว ในบางช่วงของหาดระดับน้ำลึก คลื่นแรง แหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อบนหาดแห่งนี้ ได้แก่ ศูนย์วัฒนธรรมวัดละไมและหินตา หินยาย โขดหินรูปร่างประหลาดบริเวณอ่าวละไม ซึ่งเล่ากันว่ามีตา-ยายชาวปากพนังคู่หนึ่งเดินทางด้วยเรือใบไปจังหวัดประจวบคีรีขันธ์เพื่อจะไปสู่ขอผู้หญิงให้กับลูกชาย แต่เมื่อเรือแล่นมาถึงแหลมละไมเกิดพายุใหญ่จนเรือล่มทำให้ตาและยายเสียชีวิต แล้วคลื่นก็ซัดขึ้นมาเกยที่หาดจนกลายเป็นหินอย่างในปัจจุบันนี้
สวนผีเสื้อสมุย ที่มีลักษณะเป็นสวนหินที่เต็มไปด้วยต้นไม้และดอกไม้นานาพรรณ และเป็นสวนพฤกษศาสตร์ที่รวบรวมไว้ซึ่งพันธุ์ไม้ไทย พืชสมุนไพร และไม้ป่านานาชนิดจากทุกภาคของประเทศ โดยจะมีผีเสื้อบินในแต่ละวันนับหมื่นๆ ตัว ส่วนแหล่งท่องเที่ยวอื่นที่น่าสนใจ ได้แก่ น้ำตกหินลาดและน้ำตกหน้าเหมือง, ศูนย์ลิงสมุย, เกาะแตน, ฟาร์มงูพังกา รวมถึงแหล่งดูปะการังต่างๆ เป็นต้น
น้ำตกหน้าเมือง เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ที่เป็นที่ชื่นชอบแก่ผู้ที่ต้องการพักผ่อนและต้องการเปลี่ยน บรรยากาศมาเล่นน้ำจืดบนเกาะ การเดินทางมาเที่ยวชมน้ำตกแห่งนี้นับว่ามีความสะดวก มีถนนเข้าถึงน้ำตก และอยู่ห่างจากท่าเรือหน้าทอนเพียงแค่ 14 กิโลเมตร และเมื่อเดินทางมาถึงน้ำตกก็จะได้พบกับลานกว้าง มีที่นั่งพักผ่อนหย่อนใจ ตลอดจนร้านอาหารและร้านจำหน่ายของที่ระลึกให้บริการ หลังจากนั้นก็จะได้พบกับน้ำตกหน้าเมือง 1 ซึ่งจัดว่าเป็นน้ำตกขนาดไม่ใหญ่นัก มีความสูงประมาณ 15 เมตร สายน้ำจะไหลลงมารวมกันเป็นแอ่งขนาดใหญ่ เหมาะแก่การเล่นน้ำเป็นอย่างยิ่ง สำหรับผู้ที่ชอบความสมบุกสมบันในการเดินทาง ก็สามารถเดินเท้าเข้าไปชมน้ำตกหน้าเมือง 2 ซึ่งมีขนาดใหญ่ สวยงาม แต่กระแสน้ำจะค่อนข้างไหลแรง
เจดีย์แหลมสอ เป็นเจดีย์ที่สร้างขึ้นโดยหลวงพ่อแดง พระภิกษุที่เป็นที่เคารพนับถืออย่างยิ่งของชาวเกาะสมุย มรณภาพเพราะเรืออับปาง เมื่อ พ.ศ. 2519 องค์พระเจดีย์ประดับด้วยกระเบื้องสีทองทั้งองค์ ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ อยู่ริมทะเลเขตติดต่อระหว่างตำบลตลิ่งงาม-หน้าเมือง วัดคุณาราม (วัดเขาโป๊ะ) บริเวณกิโลเมตรที่ 13 ใกล้น้ำตกหน้าเมือง มีพระซึ่งชาวบ้านเรียกว่า หลวงพ่อแดง หรือ หลวงพ่อแดง ปิยะสีโล (ท่านพระครูสมถกิตติคุณ) มรณภาพไปแล้วแต่ศพไม่เน่าเปื่อย บรรจุในโลงแก้ว ในท่านั่งวิปัสสนากรรมฐาน
นอกจากสมุยจะมีที่เที่ยวแบบชายหาดดำน้ำดูปะการังแล้ว สมุยยังมีสถานที่น่าเที่ยวอีกหลายแห่ง อาทิ พระพุทธรูปใหญ่ชื่อ "พระพุทธโคดม" ที่มีขนาดหน้าตักกว้าง 5 วา 9 นิ้ว ซึ่งเป็นที่ตั้งสำนักวิปัสสนากรรมฐาน,พระธาตุหินงู พระบรมสารีริกธาตุ,พระพุทธบาทเขาเล่, วัดสำเร็จ,เจดีย์แหลมสอ,สำนักสงฆ์หินลาดน้ำเค็ม น้ำตกหินลาด เป็นต้น
การเดินทาง
ทางรถไฟ จะมีรถไฟออกจากสถานีหัวลำโพงทุกวัน
รถโดยสารประจำทาง จะมีบริการรถโดยสารปรับอากาศและรถโดยสารธรรมดาจากกรุงเทพฯ เดินทางตรงสู่เกาะสมุยโดยไม่รวมค่าโดยสารเรือเฟอร์รี่ ใช้เวลาประมาณ 14 ชั่วโมง แต่ถ้าใครต้องการความรวดเร็วก็จะมีสายการบินที่เปิดบริการเที่ยวบินไป-กลับ กรุงเทพฯ-สมุย ทุกวัน จะใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง 20 นาที
การเดินทางเข้าสู่เกาะสมุย มี 2 เส้นทาง ได้แก่
1.การเดินทางโดยเรือเฟอร์รี่ จากท่าเรือดอนสัก มีวันละ 7 เที่ยว จะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที, เรือด่วนออกจากสุราษฎร์ธานีไปยังท่าเรือหน้าทอนบนเกาะสมุย จะมีวันละ 1 เที่ยว ตอนเวลา 8.00 น. ใช้เวลา 2 ชั่วโมง 30 นาที
2.เรือนอน (เรือธรรมดา) จากท่าเรือบ้านดอน จะออกเวลา 23.00 น. ถึงเกาะสมุยเวลา 05.00 น. โดยจะมีเรือออกจากเกาะสมุยเวลา 21.00 น. ถึงสุราษฎร์ธานีเวลา 04.00 น.
ดังนั้น หากคุณอยากพบกับหาดทรายขาวๆ และน้ำทะเลใสๆ เราขอแนะนำ "เกาะสมุย" สถานที่ท่องเที่ยวทางทะเล ที่น่าไปเที่ยวไม่แพ้ที่อื่นๆ ค่ะ
สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ี่
สำนักงาน ททท.ฯ สุราษฎร์ฯ โทร 0 7728 8818-9
ศูนย์ประสานงานการท่องเที่ยว ททท.เกาะสมุย โทร 0 7742 0720-2
ประชาสัมพันธ์จังหวัด โทร 0 7728 3970
สถานีเดินรถประจำทาง โทร 0 7720 0032
สถานีรถไฟสุราษฎร์ฯ โทร 0 7731 1213
สนามบินสุราษฎร์ธานี โทร 0 7744 1230
สนามบินสมุย โทร 0 7742 5011
โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี โทร 0 7727 2231
โรงพยาบาลสมุย โทร 0 7742 1399,0 7742 0902
โรงพยาบาลเฉวง โทร 0 7723 0049,0 7742 2272
ที่ทำการไปรษณีย์ โทร 0 7727 2013,0 7728 1966-7
ตรวจคนเข้าเมือง โทร 0 7727 3217,0 7727 3504
สถานีตำรวจ โทร 191,0 7727 2095,0 7727 2211
ตำรวจทางหลวง โทร 1193
ตำรวจท่องเที่ยว โทร. 1155, 0 7742 1281
วันอังคารที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555
วัดพนัญเชิง วรวิหาร
วัดพนัญเชิง วรวิหาร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ตั้งอยู่บริเวณริมแม่น้ำ ป่าสักไปทางด้านทิศใต้ฝั่งตรงข้ามของเกาะเมือง ห่างจาตัวเมืองราว 5 กิโลเมตรหรือเมื่ออกจากวัดใหญ่ชัยมงคลถึงถนนใหญ่แล้วเลี้ยวซ้ายวัดนี้เป็น วัดที่มีมาก่อนการสร้างกรุงศรีอยุธยา ไม่ปรากฏหลักฐานว่าใครเป็นผู้สร้างพระพุทธรูปซึ่งเป็นพระประธานในพระวิหาร ชื่อพระเจ้าพนัญเชิง สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.1867 นับเป็นพระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัยที่มีอายุมากที่สุดและใหญ่ที่สุดใน ประเทศไทย หน้าตักกว้าง 20.17 เมตร และสูงจากชายพระชงฆ์ถึงรัศมี 19 เมตร ฝีมือปั้นงดงาม เป็นที่เคารพสักการะของชาวจังหวัด ตามตำนานกล่าวว่า เมื่อคราวพระนครศรีอยุธยาจะเสียแก่ข้าศึกนั้น พระพุทธรูปองค์นี้มีน้ำพระเนตรไหลออกมาทั้งสองข้าง
พิธีกรรม ประเพณีทิ้งกระจาดวัดพนัญเชิงเริ่มวันแรกด้วยการอุทิศส่วนกุศลให้บรรดาผีไม่ มีญาติทั้งหลาย โดยพระจีนนิกายมหายานซึ่งมีวิธีสวดและข้อปฏิบัติแตกต่างจากพระไทยนิกาย เถรวาท จะสวดมนต์ตลอดทั้งวัน
วันที่สองของงาน เป็นวันที่สำคัญที่สุด เพราะจะมีการเผาหุ่นยมบาล ของใช้กระดาษ และการทิ้งกระจาดบริจาคทานแก่คนยากจนที่มารอรับ สาเหตุที่เรียกว่าทิ้งกระจาดนั้นเนื่องมาจากในอดีตของกินและเสื้อผ้าที่ทิ้ง มานั้นทิ้งมาทั้งกระจาด ความใหญ่โตของงานทิ้งกระจาดวัดพนัญเชิงนั้น เห็นได้อย่างชัดเจนที่หอทิ้งกระจาดซึ่งสร้างเป็นอาคารก่ออิฐถือปูนอย่างถาวร สูงเด่นกลางลานคอนกรีตโล่ง รวมทั้งหุ่นยมบาลที่สูงกว่า ๑๐ เมตร ของกินของใช้ที่รับบริจาคมาจะมีกรรมการวัดลำเลียงขึ้นไปบนหอ ส่วนบริเวณรอบ ๆ ที่ตั้งหุ่นยมบาลจะเต็มไปด้วยกระดาษเงิน กระดาษทอง ของใช้ที่ทำจากกระดาษ กองสุมไว้รอเวลาเผา พระจีนจะสวดมนต์ไปตลอดวันเช่นเดียวกับวันแรก เมื่อเวลาประมาณ ๑๖.๐๐ น. คณะกรรมการจะเริ่มจุดไฟเผาหุ่นและของใช้กระดาษ ส่วนคณะกรรมการบนหอก็เริ่มทิ้งของบริจาคซึ่งส่วนมากเป็นผลไม้ ทั้งกล้วยและส้มโอ ภายในผลไม้บางผลจะมีไม้บาง ๆ เสียบอยู่ เรียกว่า “ติ้ว” คนที่แย่งผลไม้ที่มีติ้วเสียบอยู่ได้ ก็จะนำไปแลกของกับคณะกรรมการ ซึ่งมีทั้งเสื้อผ้า ของใช้ ข้าวสาร
วันที่สามเป็นวันสุดท้ายของงาน ในตอนเช้าจะเก็บกวาดขยะและขี้เถ้า ช่วงกลางวันมีการสวดมนต์เช่นทุกวัน แต่เป็นพระไทยสวดให้ศีลให้พร ถือเป็นการเสร็จงานประเพณีทิ้งกระจาดประจำปี
เหตุที่งานทิ้งกระจาดที่วัดพนัญเชิงจัดได้ใหญ่โต เนื่องมาจากบริเวณวัดพนัญเชิงตั้งอยู่ตรงหัวมุมแหลมบางกะจะ เขตเมืองอโยธยาใต้ ตรงที่แม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำป่าสักไหลมาบรรจบกัน ในสมัยกรุงศรีอยุธยาบริเวณนี้เป็นแหล่งการค้าทางเรือที่สำคัญ เป็นแหล่งชุมนุมสำเภาจีนและเรือค้าขายต่าง ๆ มีผู้คนอาศัยอยู่หนาแน่น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวจีน ซึ่งยึดถือขนบธรรมเนียมอย่างเคร่งครัดไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหนงานทิ้งกระจาด เป็นประเพณีที่ชาวจีนปฏิบัติสืบต่อกันมายาวนาน เมื่อมาตั้งหลักแหล่งเป็นชุมชนใหญ่ข้างวัดพนัญเชิง มีฐานะทางเศรษฐกิจดี จึงจัดงานเทกระจาดที่วัดพนัญเชิง ซึ่งมีบริเวณกว้างขวางเหมาะแก่การทำสาธารณประโยชน์โดยเฉพาะงานบุญงานกุศล นอกจากนั้นยังแสดงให้เห็นถึงการผสมผสานวัฒนธรรมและสถานภาพทางสังคมของคนจีน และคนไทย
ประเพณีทิ้งกระจาดที่วัดพนัญเชิง ถือว่าเป็นประเพณีเด่นของอยุธยาและกลายเป็นงานประเพณีตามแบบจีน เป็นงานประจำปีที่ใหญ่ที่สุดงานหนึ่ง จัดขึ้นทุกปีในช่วงกลางเดือน ๗ ของจีน (ตรงกับเดือน ๙ ของไทย) ไปจนถึงสิ้นเดือน
ความสำคัญ ประเพณีทิ้งกระจาดนั้นชาวจีนเชื่อกันว่า เป็นการทำบุญทำทานให้แก่บรรดาภูตผีที่ไม่มีญาติทั้งหลาย ซึ่งจะถูกปล่อยจากยมโลกมารับส่วนบุญบนโลกมนุษย์ปีละครั้ง ก่อนกลับไปรับผลกรรมที่เคยสร้างไว้เมื่อคราวเป็นมนุษย์ ระยะเวลาที่จัดงานเชื่อกันว่าเป็นช่วงเวลาที่ประตูยมโลกเปิดพิธีกรรม ประเพณีทิ้งกระจาดวัดพนัญเชิงเริ่มวันแรกด้วยการอุทิศส่วนกุศลให้บรรดาผีไม่ มีญาติทั้งหลาย โดยพระจีนนิกายมหายานซึ่งมีวิธีสวดและข้อปฏิบัติแตกต่างจากพระไทยนิกาย เถรวาท จะสวดมนต์ตลอดทั้งวัน
วันที่สองของงาน เป็นวันที่สำคัญที่สุด เพราะจะมีการเผาหุ่นยมบาล ของใช้กระดาษ และการทิ้งกระจาดบริจาคทานแก่คนยากจนที่มารอรับ สาเหตุที่เรียกว่าทิ้งกระจาดนั้นเนื่องมาจากในอดีตของกินและเสื้อผ้าที่ทิ้ง มานั้นทิ้งมาทั้งกระจาด ความใหญ่โตของงานทิ้งกระจาดวัดพนัญเชิงนั้น เห็นได้อย่างชัดเจนที่หอทิ้งกระจาดซึ่งสร้างเป็นอาคารก่ออิฐถือปูนอย่างถาวร สูงเด่นกลางลานคอนกรีตโล่ง รวมทั้งหุ่นยมบาลที่สูงกว่า ๑๐ เมตร ของกินของใช้ที่รับบริจาคมาจะมีกรรมการวัดลำเลียงขึ้นไปบนหอ ส่วนบริเวณรอบ ๆ ที่ตั้งหุ่นยมบาลจะเต็มไปด้วยกระดาษเงิน กระดาษทอง ของใช้ที่ทำจากกระดาษ กองสุมไว้รอเวลาเผา พระจีนจะสวดมนต์ไปตลอดวันเช่นเดียวกับวันแรก เมื่อเวลาประมาณ ๑๖.๐๐ น. คณะกรรมการจะเริ่มจุดไฟเผาหุ่นและของใช้กระดาษ ส่วนคณะกรรมการบนหอก็เริ่มทิ้งของบริจาคซึ่งส่วนมากเป็นผลไม้ ทั้งกล้วยและส้มโอ ภายในผลไม้บางผลจะมีไม้บาง ๆ เสียบอยู่ เรียกว่า “ติ้ว” คนที่แย่งผลไม้ที่มีติ้วเสียบอยู่ได้ ก็จะนำไปแลกของกับคณะกรรมการ ซึ่งมีทั้งเสื้อผ้า ของใช้ ข้าวสาร
วันที่สามเป็นวันสุดท้ายของงาน ในตอนเช้าจะเก็บกวาดขยะและขี้เถ้า ช่วงกลางวันมีการสวดมนต์เช่นทุกวัน แต่เป็นพระไทยสวดให้ศีลให้พร ถือเป็นการเสร็จงานประเพณีทิ้งกระจาดประจำปี
เหตุที่งานทิ้งกระจาดที่วัดพนัญเชิงจัดได้ใหญ่โต เนื่องมาจากบริเวณวัดพนัญเชิงตั้งอยู่ตรงหัวมุมแหลมบางกะจะ เขตเมืองอโยธยาใต้ ตรงที่แม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำป่าสักไหลมาบรรจบกัน ในสมัยกรุงศรีอยุธยาบริเวณนี้เป็นแหล่งการค้าทางเรือที่สำคัญ เป็นแหล่งชุมนุมสำเภาจีนและเรือค้าขายต่าง ๆ มีผู้คนอาศัยอยู่หนาแน่น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวจีน ซึ่งยึดถือขนบธรรมเนียมอย่างเคร่งครัดไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหนงานทิ้งกระจาด เป็นประเพณีที่ชาวจีนปฏิบัติสืบต่อกันมายาวนาน เมื่อมาตั้งหลักแหล่งเป็นชุมชนใหญ่ข้างวัดพนัญเชิง มีฐานะทางเศรษฐกิจดี จึงจัดงานเทกระจาดที่วัดพนัญเชิง ซึ่งมีบริเวณกว้างขวางเหมาะแก่การทำสาธารณประโยชน์โดยเฉพาะงานบุญงานกุศล นอกจากนั้นยังแสดงให้เห็นถึงการผสมผสานวัฒนธรรมและสถานภาพทางสังคมของคนจีน และคนไทย
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)